[รีวิว] หนังสือ “พูดให้คนเข้าใจ ง่ายแบบนี้เอง”

สวัสดีครับ โพสต์นี้จะมาเล่าหนังสือ “พูดให้คนเข้าใจ ง่ายแบบนี้เอง” สืบเนื่องจากในปี 2019 นี้ผมได้ตั้งเป้าที่จะเขียนบล็อก 1 โพสต์/อาทิตย์ และอ่านหนังสือ 1 เล่ม/เดือน .. และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสือที่ดองเอาไว้อีกเล่มนึง ก็เลยเอามาอ่านเป็นเล่มแรกของปีครับ

หนังสือ “พูดให้คนเข้าใจ ง่ายแบบนี้เอง” ตัวหนังสือ เป็นหนังสือที่แปลมาจากภาษาญี่ปุ่น เขียนโดย ยะมะดะ ซูนี แปลโดย ทินภาส พาหะนิชย์ จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ วีเลิร์น นะครับ…

หนังสือเล่มนี้ แฟนผมซื้อมาให้ เพราะนางเห็นว่าผมเป็นคนที่พูดไม่รู้เรื่อง 😛 เลยจัดหนังสือมาให้อ่าน เพื่อที่ว่าจะได้หัดเป็นคนที่พูดรู้เรื่องซะที…..

แต่พอมาอ่านหนังสือเล่มนี้จริงๆแล้ว ก็ได้เห็นแง่มุมต่างๆในการสื่อสารได้อีกเยอะเลย เลยคิดว่า น่าจะเอามาเล่าถึงให้ได้อ่านกันครับ

พูดให้คนเข้าใจ ง่ายแบบนี้เอง – เนื้อหาของหนังสือ

ต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่า ถึงแม้ว่าผมจะอ่านหนังสือเล่มนี้มาแล้ว แต่ทักษะในการสื่อสารเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนอยู่อย่างต่อเนื่อง และการรีวิวหนังสือครั้งนี้เป็นครั้งแรกของชีวิตเลยล่ะ การเขียนรีวิวครั้งนี้เลยอาจจะยังอ่านแล้วงงๆอยู่นะครับ

หนังสือ “พูดให้คนเข้าใจ ง่ายแบบนี้เอง” เริ่มต้นด้วยสิ่งสำคัญที่สุดในการสื่อสาร นั่นก็คือเป้าหมายของการสื่อสาร .. การสื่อสารมีเพื่อให้คนเราสามารถเข้าใจตรงกันได้ ซึ่งในการที่เราจะเข้าใจคนอีกคนได้ จะมีเรื่องพลังในการสื่อสารมาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งคนแต่ละคนจะมีพลังในการสื่อสารต่างกัน แม้จะพูดเรื่องเดียวกันก็ตาม ซึ่งพลังในการสื่อสารนั้นขึ้นอยู่กับ “ความไว้ใจ” ที่คนๆนั้นได้รับจากคนอื่นครับ

ในบทถัดมา คนเขียนก็พูดถึงวิธีการที่ใช้ในการสื่อสาร ซึ่งก็คือ หลักเหตุและผล คนเขียนเกริ่นนำมาเรื่องของเหตุผลก่อนเลย ตอนแรกผมก็ค่อนข้างงงเหมือนกัน เพราะผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่า เราก็เป็นคนที่ยึดหลักเหตุผลด้วยเหมือนกัน แล้วทำไมถึงยังสื่อสารไม่รู้เรื่องซักที.. แต่ก็อ่านไปคนเขียนก็ขยายความต่อว่าหลักเหตุผลนี้ใช้ในการคิดด้วย ซึ่งคนที่พูดเก่งๆ อย่างนักข่าวที่สัมภาษณ์คนเยอะๆ เค้าก็ใช้หลักการนี้ด้วยเช่นกัน … โดยวิธีการคิดที่สำคัญที่สุดก็คือ การตั้งคำถาม และคนเขียนก็เขียนถึงวิธีการตั้งคำถามที่ดี .. คนที่คิดเก่งจะสามารถตั้งคำถามได้หลากหลาย ในหลายๆมุมมองครับ

คนเขียนยังใช้หลักการตั้งคำถามนี้อธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมคนถึงไม่เข้าใจกันซักที .. นั่นก็เพราะว่าคนสองคน คุยกันอยู่บนคำถามที่ต่างกัน จึงมีความคิดและมุมมองที่ต่างกัน ซึ่งในบางที ถ้าเราพิจารณาคำถามที่อีกฝ่ายยืนอยู่ดีๆ ก็จะเข้าใจ และสามารถสร้างความรู้สึกร่วมกับอีกฝ่ายได้ง่ายขึ้นครับ

ช่วงครึ่งท้ายของหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนพูดถึงวิธีการสร้างพลังในการสื่อสารด้วยข้อมูลที่ได้รับ วิธีการสร้างพลังในการสื่อสารด้วยการเปิดการรับรู้ข้อมูลให้คนอื่นได้รับรู้ ซึ่งก็ได้เอาหลักการการตั้งคำถามสอดแทรกไว้ในเนื้อหาอยู่ตลอดของเนื้อหาครับ

สุดท้าย ผู้เขียนก็กลับมาสรุปเรื่องของความไว้วางใจ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถขอจากคนอื่นได้ แต่เราจะต้องค่อยๆทำให้คนอื่นมีความไว้วางใจในตัวเรา เพื่อที่จะสร้างพลังในการสื่อสารให้กับเราได้ครับ

สรุปมั้ย?

สรุปสุดท้าย หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มแรกของปี 2019 ที่ได้อ่านเลยล่ะ เป็นหนังสือที่นอกจากจะเอามาใช้ฝึกฝนตัวเองแล้ว ผมยังเห็นว่าเราสามารถใช้กับการสื่อสารขององค์กรได้อีกเช่นกัน เช่นการสื่อสารภายในของบริษัท หรือแม้กระทั่งการเขียนอธิบายคุณสมบัติของสินค้าที่เราจะขายด้วยนะครับ สำหรับตัวผม ก็กำลังฝึกฝนที่จะสื่อสารให้รู้เรื่องกับเค้าเหมือนกัน ดังนั้น.. รบกวนด้วยนะครับ ถ้าอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ช่วยกันคอมเม้นต์มาได้เลย ว่า “อ่านไม่รู้เรื่อง” “ตรงนี้.. ตรงนั้น.. อ่านแล้วยังงงอยู่เลย” เพื่อเป็นฟีดแบ็คที่จะต้องเอากลับมาปรับปรุงตัวเองอีกทีนะครับ

ไปซื้อหนังสือได้ที่เว็บของสำนักพิมพ์วีเลิร์นได้ที่นี่ครับ -> คลิก

speak for understanding - it so easy